ทำวัตรเช้า-เย็น ภาษาไทย-อังกฤษ



ทำวัตรเช้า - Morning Chant

มนัสการพระรัตนตรัย (Ratanattaya Vandana) – Salutation to the Triple Gem

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะควันตัง อะภิวาเทมิ - พระผู้มีพระภาคเจ้า, เป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า, ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
Araham sammā-sambuddho bhagavā Buddham bhagavantam abhivādemi 
The Lord, the Perfectly Self-Enlightened One, I pay homage to the Buddha, the Awakened One, the Blessed One.
กราบ (prostrate once)

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ - พระธรรม เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า, ตรัสไว้ดีแล้ว ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม
Svākkhāto bhagavatā dhammo Dhammam namassāmi 
The Teaching is well expounded by the Blessed One, I pay homage to the Dhamma.
กราบ (prostrate once)

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ - พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า, ปฏิบัติดีแล้ว ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์
Supatipanno bhagavato sāvaka-sangho Sangham namāmi 
The Sangha, the Blessed One's disciples have practiced well, I pay respect to the Sangha.
กราบ (prostrate once)
……………………………………………………………………………..

ปุพพภาคนมการ (Pubbabhaganamakarapatha) – Preliminary homage

ผู้สวดนำเริ่มว่า - Invocation by Leader:
หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะ ภาคะ นะมะการัง กะโรมะ เส - เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความนอบน้อมอันเป็นส่วนเบื้องต้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด
Handa mayam buddhassa bhagavato pubba-bhāga-namakāram karoma se: 
Now let us chant the preliminary homage to the Awakened One, the Blessed One:

All: 
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 ครั้ง) - ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
Namo tassa bhagavato arahato sammā-sambuddhassa (three times) 
Homage to the Blessed One, the Worthy One, the Perfectly Self-awakened One.
………………………………………………………………………………………………………
พุทธาภิถุติ (Buddhābhithutim) – Praise to the Buddha

Leader:
หันทะ มะยัง พุทธาภิถุติง กะโรมะ เส - เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำการสวดสรรเสริญพระพุทธเจ้าเถิด
Handa mayam buddhābhithutim karoma se: - Now let us chant in praise of the Buddha:

All:
โย โส ตะถาคะโต อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ - พระตถาคต (ผู้บรรลุสัทธรรม)เจ้านั้น พระองค์ใด เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
Yo so tathāgato araham sammā-sambuddho, 
The Tathagata (the One who realized the Truths – the Buddha) who is free from defilements, the Worthy One, Rightly Self-awakened,

วิชชาจะระณะสัมปันโน, สุคะโต โลกะวิทู - เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
Vijjā-carana-sampanno sugato lokavidū, 
He is perfect in knowledge (theory) and conduct (practice), the Accomplished One, the knower of the worlds,

อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวา - เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอน ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์
Anuttaro purisa-damma-sārathi satthā deva-manussānam buddho bhagavā; 
He trains perfectly those who can be trained, He is the Teacher of human and divine beings, He is Awakened, Blessed, and Holy.


โย อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพรหมะกัง, สัสสะมะณะพราหมะณิง ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง สะยัง อะภิญญา สัจฉิกัตวา ปะเวเทสิ 
Yo imam lokam sadevakam samārakam sabrahmakam, Sassamana-brāhmanim pajam sadeva-manussam sayam abhinnā sacchikatvā pavedesi
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด, ได้ทรงทำความดับทุกข์ให้แจ้งด้วยพระปัญญาอันยิ่งเองแ ล้ว, ทรงสอนโลกนี้ พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม และหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์, พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม
The Blessed One had realized the intuitive knowledge of the Truths, made known to this world and expounded to deities, mara (devil), brahma, recluses, sages, celestial and human beings.

โย ธัมมัง เทเสสิ อาทิกัลยาณัง มัชเฌกัลยาณัง ปะริโยสานะกัลยาณัง, - พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด, ทรงแสดงธรรมแล้ว ไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด
Yo dhammam desesi ādi-kalyānam majjhe-kalyānam pariyosāna-kalyānam; 
The Blessed One preached the Dhamma, noble in the beginning, noble in the middle, noble in the end.

สาตถัง สะพยัญชะนัง เกวะละปริปุณณัง ปะริสุทธัง พรหมะจะริยัง ปะกาเสสิ, - ทรงประกาศพรหมจรรย์ คือแบบแห่งการปฏิบัติอันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ สิ้นเชิง, พร้อมทั้งอรรถะ (คำอธิบาย) พร้อมทั้งพยัญชนะ 
Sāttham sabyanjanam kevala-paripunnam parisuddham brahma-cariyam pakāsesi,
The Blessed One expounded a complete, purified, holy life both in exemplification and meaning. 

ตะมะหัง ภะคะวันตัง อะภิปูชะยามิ - ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง เฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
Tamaham bhagavantam abhipūjayāmi, - I worship that Blessed One.

ตะมะหัง ภะคะวันตัง สิระสา นะมามิ - ข้าพเจ้านอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ด้วยเศียรเกล้า
Tamaham bhagavantam sirasā namāmi - I bow my head to the Blessed One.
กราบรำลึกพระพุทธคุณ (prostrate once)
……………………………………………………………………………………

ธัมมาภิถุติ (dhammābhithutim) - Praise to the Dhamma 

Leader:
หันทะ มะยัง ธัมมาภิถุติง กะโรมะ เส - เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำการสวดสรรเสริญพระธรรมเถิด
Handa mayam dhammābhithutim karoma se: - Now let us chant in praise of the Dhamma:

All:
โย โส สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม - พระธรรมนั้นใด, เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว
Yo so svākkhāto bhagavatā dhammo, 
The Doctrine well expounded by the Blessed One,

สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก - เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง, เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล, เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด
Sanditthiko akāliko ehipassiko, 
Apparent here and now, timeless, inviting all to come and see (to experience the result of practicing Dhamma),

โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ - เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน 
Opanayiko paccattam veditabbo vinnūhi: 
Leading inwards, to be experienced individually by the wise.

ตะมะหัง ธัมมัง อะภิปูชะยา - ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง เฉพาะพระธรรมนั้น
Tamaham dhammam abhipūjayāmi, - I worship that Dhamma.

ตะมะหัง ธัมมัง สิระสา นะมามิ - ข้าพเจ้านอบน้อมพระธรรมนั้น ด้วยเศียรเกล้า
Tamaham dhammam sirasā namāmi. - I bow my head to the Dhamma.
กราบรำลึกพระธรรมคุณ (prostrate once)
………………………………………………………………………………………………………

สังฆาภิถุติ (Sanghābhithutim) - Praise to the Sangha 

Leader:
หันทะ มะยัง สังฆาภิถุติง กะโรมะ เส - เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำการสวดสรรเสริญพระสงฆ์เถิด
Handa mayam sanghābhithutim karoma se: - Now let us chant in praise of the Sangha:

All:
โย โส สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, - สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น หมู่ใด, ปฏิบัติดีแล้ว
Yo so supatipanno bhagavato sāvaka-sangho, 
The Sangha, the Blessed One's disciples who have practiced well,

อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, - สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด, ปฏิบัติตรงแล้ว 
Uju-patipanno bhagavato sāvaka-sangho, 
The Sangha, the Blessed One's disciples who have practiced straight,

ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, - สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด, ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว 
Nāya-patipanno bhagavato sāvaka-sangho, 
The Sangha, the Blessed One's disciples who have practiced insightfully, to abandon sufferings,

สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, - สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด, ปฏิบัติสมควรแล้ว 
Sāmīci-patipanno bhagavato sāvaka-sangho, 
The Sangha, the Blessed One's disciples who have practiced with integrity, right conduct,

ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, - ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่, นับเรียงตัวบุรุษ ได้ ๘ บุรุษ
Yadidam cattāri purisa-yugāni attha purisa-puggalā: 
That is the four pairs, the eight kinds of noble beings

เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, - นั่นแหละ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า 
Esa bhagavato sāvaka-sangho 
That is the Sangha, the Blessed One's disciples,

อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลิกะระณีโย - เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา, เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ, เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน, เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี
Āhuneyyo pāhuneyyo dakkhineyyo anjali-karanīyo, 
Worthy of gifts, worthy of hospitality, worthy of offerings, worthy of respect,

อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ, - เป็นเนื้อนาบุญของโลก, ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า 
Anuttaram punnakkhettam lokassa: 
The supreme field of merit (punna) for the world:

ตะมะหัง สังฆัง อะภิปูชะยามิ, - ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง เฉพาะพระสงฆ์หมู่นั้น 
Tamaham sangham abhipūjayāmi, - I worship that Sangha

ตะมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิ, - ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์หมู่นั้น ด้วยเศียรเกล้า 
Tamaham sangham sirasā namāmi. - I bow my head to the Sangha.
กราบรำลึกพระสังฆคุณ (prostrate once)
.................................................. ................................

รตนัตตยัปปณามคาถา (Ratanattayapanamagatha) - Salutation to the Triple Gem 

Leader:
หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถาโย เจวะ สังเวคะ ปะริกิตตะนะ ปาฐัญจะ ภะณามะ เส - เชิญเถิด เราทั้งหลาย กล่าวคำนอบน้อมพระรัตนตรัยและบาลีที่กำหนดวัตถุเครื่ องแสดงความสังเวชเถิด
Handa mayam ratanat-tayap-paņāma-gāthāyo ceva samvega-parikittana-pāthanca bhanāma se
Now let us chant our salutation to the Triple Gem and a passage for dispassionateness

All:
พุทโธ สุสุทโธ กะรุณา มะหัณณะโว - พระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ มีพระกรุณาดุจห้วงมหรรณพ
Buddho susuddho karunā-mahannavo, 
The Blessed one, purified, and having ocean-like compassion,

โยจจันตะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน - พระองค์ใด มีตาคือญาณอันประเสริฐหมดจดถึงที่สุด
Yoccanta-suddhabbara-nāna-locano, 
He possessed the eye of higher knowledge, completely purified and superb,

โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก - เป็นผู้ฆ่าเสียซึ่งบาป และอุปกิเลสของโลก
Lokassa pāpūpakilesa-ghātako: 
He is the destroyer of wickedness and upakilesa* of the world
*upakilesa (อุปกิเลส) – impurities (imperfections, corruptions) of mind.

1. abhijjhā-visamalobha (อภิชฌมวิสมโลภะ) - greed (ความละโมภ เพ่งเล็งอยากได้ อยากมี อยากเป็นอย่างไม่รู้จักพอ)
2. byāpāda (พยาบาท) – ill-will, malice (ความพยาบาทโทสะ เมตตาดับความคิดปรุงแต่งให้เกิดโทสะได้)
3. kodha (โกธะ) – anger (ความโกรธ รุนแรงน้อยกว่าโทสะ โกรธเป็นเพียงความเคืองหรือขุ่นเคืองเท่านั้น)
4. upanāha (อุปนาหะ) - hostility (ผูกโกรธ ไม่ยอมเลิกโกรธ เก็บความโกรธฝังไว้ในใจนานๆให้ความร้อนแก่ตนเองไม่รู ้สิ้นสุด )
5. makkha (มักขะ) – denigration (ดูถูกดูหมิ่นความดีของท่านที่ท่านได้ทำแล้ว)
6. palāsa (ปลาสะ) – domineering (ความตีเสมอ ยกตัวที่ต่ำให้สูงโดยไม่ได้ทำคุณงามความดีหรือสร้างว าสนาบารมีเช่นท่าน ความไม่มีสัมมาคารวะ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง)
7. issā (อิสสา) – envy (ความริษยา)
8. macchariya (มัจฉริยะ) – stinginess, miserliness (ความตระหนี่)
9. māyā (มายา) – fraud, insincerity, cunning (เจ้าเล่ห์ หลอกลวง ไม่จริงใจ)
10. sātheyya (สาเถยยะ) – brag (โอ้อวด หาทางแสดงออกให้ผู้อื่นเห็นความสำคัญในทางต่างๆ ของตน เช่นความมั่งมี ความใหญ่โต)
11. thambha (ถัมภะ) – obstinacy, irrational (หัวดื้อถือรั้น ไม่มีเหตุผล)
12. sārambha (สารัมภะ) – compete or show off in order to win or better (แข่งดีแข่งเด่น มุ่งแต่จะเองชนะ จะพูดจะทำอะไรต้องเหนือกว่าผู้อื่นตลอด)
13. māna (มานะ) – conceit, pride, vanity (ความถือตัวถือตน ถือชั้นวรรณะเกินพอดี ทะนงตน)
14. atimāna (อติมานะ) – superiority-conceit (ความเย่อหยิ่งจองหอง)
15. mada (มทะ) – infatuation (ความมัวเมา ความหลงในลาภยศสรรเสริญสุข หรือความหลงในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ จนลืมความถูกความควร)
16. pamāda (ปมาทะ) – negligence (ความประมาทเลินเล่อ สะเพร่า คิดปรุงแต่งว่าไม่เป็นไร)
.................................................. .....................

*kilesa (กิเลส) – defilements, mind-defiling, caused by craving (tanha) and lust (raga). 3 levels of kilesa:

1.) Unwholesome roots - Akulsara-mula (อกุศลมูล) is in the depth of one’s mind:
1. Lobha (โลภะ) – greed (ความโลภ): lust, attachment
2. Dosa (โทสะ) – hate (ความโกรธ): aversion, irritation of mind
3. Moha (โมหะ) – delusion (ความหลง): ignorance, wrong view

2.) Medium level of defilement is mental hindrances or nivarana (นิวรณ์) that disturb, irritate, and cloud the mind from being calm and developing, unable to discern things clearly, etc.
1. kāmacchanda (กามฉันทะ) – sensuous desire (ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส)
2. byāpāda (พยาบาท) – anger, ill-will (ความผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ)
3. thīna-middha (ถีนมิทธะ) – sloth, torpor, boredom (ความขี้เกียจ เฉื่อยชา)
4. uddhacca-kukkucca (อุทธัจจกุกกุจจะ) – restlessness, worry, scattered-brained (ฟุ้งซ่าน รำคาญหงุดหงิด)
5. vicikicchā (วิจิกิจฉา) – doubt in the Teachings, practices, etc. (ลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติ ไม่แน่ใจว่าจะมีผลจริงตามที่คิดไว้หรือไม่เพียงใด)

3.) Coarse level or crude form of defilement through unwholesome speeches and actions such as killing, cheating, stealing, adultery, lying, etc.
วันทามิ พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตัง - ข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ
Vandāmi buddham ahamādarena ta. - I revere that Buddha with devotion. 

ธัมโม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ สัตถุโน - พระธรรมของพระศาสดา สว่างรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีป
Dhammo padīpo viya tassa satthuno
The doctrine of the Great Teacher, the Enlightened One, likened an illuminating lamp,

โย มัคคะปากามะตะเภทะภินนะโก - จำแนกประเภท คือ มรรค ผล นิพพาน, ส่วนใด 
Yo magga-pākāmata-bhedabhinnako, - classified in path, fruition, and Nibbana

โลกุตตระ โย จะ ตะทัตถะทีปะโน - ซึ่งเป็นตัวโลกุตตระ, และส่วนใดที่ชี้แนวแห่งโลกุตตระนั้น
Lokuttaro yo ca tad-attha-dīpano: 
Points out what lokuttara* is, and the path to this goal, 

*lokuttara (
โลกุตตระ) – 9 things of transcending the world: 4 paths and 4 fruitions, nibbana is the ninth 

วันทามิ ธัมมัง อะหะมาทะเรนะ ตัง - ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมนั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ
Vandāmi dhammam ahamādarena tam - I revere that Dhamma with devotion. 

สังโฆ สุเขตตาภยะติเขตตะ สัญญิโต, - พระสงฆ์เป็นนาบุญอันยิ่งใหญ่กว่านาบุญอันดีทั้งหลาย
Sangho sukhettābhyatikhetta-sannito 
The Sangha, the great best field for cultivating merits,

โย ทิฏฐะสันโต สุคะตานุโพธะโก - เป็นผู้เห็นพระนิพพาน, ตรัสรู้ตามพระสุคต, หมู่ใด
Yo dittha-santo sugatānubodhako, 
They have seen the insight, nibbana and awakened after the Accomplished One,

โลลัปปะหีโน อะริโย สุเมธะโส - เป็นผู้ละกิเลสเครื่องโลเล เป็นพระอริยเจ้า มีปัญญาดี
Lolappahīno ariyo sumedhaso: 
They have abandoned defilements, become the noble ones, the wise.

วันทามิ สังฆัง อะหะมาทะเรนะ ตัง - ข้าพเจ้าไหว้พระสงฆ์หมู่นั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ
Vandāmi sangham ahamādarena tam. - I revere that Sangha with devotion. 

อิจเจวะ เมกันตะ ภิปูชะเนยยะกัง วัตถุตตะยัง วันทะยะตาภิสังขะตัง ปุญญัง มะยา ยัง มะมะ สัพพุปัททะวา มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะสิทธิยา
Icceva mekanta bhipūjaneyyakam, Vatthuttayam vandayatābhisankhatam, Punnam mayā yam mama sabbupaddavā, Mā hontu ve tassa pabhāva-siddhiyā.
บุญใด ที่ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งวัตถุสาม, คือพระรัตนตรัย อันควรบูชายิ่งโดยส่วนเดียว, ได้กระทำแล้วเป็นอย่างยิ่งเช่นนี้นี้, ขออุปัททวะ (ความชั่ว อัปรีย์, จัญไร, ไม่เป็นมงคล) ทั้งหลาย, จงอย่ามีแก่ข้าพเจ้าเลย, ด้วยอำนาจความสำเร็จ อันเกิดจากบุญนั้น
By the power of accrued merits of my reverence and practice following to the Triple Gem, may I be free from all kinds of evil, horrid, inauspicious things, mishap and dangers.
.................................................. ............................

สังเวคปริกิตตนปาฐะ (Samvega Parikittanapaatha) – Passage for dispassionateness

อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปันโน อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ - พระตถาคตเจ้าเกิดขึ้นแล้ว ในโลกนี้ เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
Idha tathāgato loke uppanno araham sammā-sambuddho, 
The Tathagata, the Worthy, Rightly and Self-Awakened One has appeared in this world, all defilements completely eradicated from his mind.

ธัมโม จะ เทสิโต นิยยานิโก อุปะสะมิโก ปะรินิพพานิโก สัมโพธะคามี สุคะตัปปะเวทิโต 
Dhammo ca desito niyyāniko upasamiko parinibbāniko sambodhagāmī sugatappavedito. 
พระธรรมที่ทรงแสดง เป็นธรรมเครื่องออกจากทุกข์ เป็นเครื่องสงบกิเลส, เป็นไปเพื่อปรินิพพาน เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม, เป็น ธรรมที่พระสุคตประกาศ
He declared the doctrine for the extinction of defilements, the cessation of suffering, leads to higher knowledge, and directing to enlightenment, to nibbana.

มะยันตัง ธัมมัง สุตวา เอวัง ชานามะ - พวกเราเมื่อได้ฟังธรรมนั้นแล้ว, จึงได้รู้อย่างนี้ว่า
Mayan-tam dhammam sutavā evam jānāma,
Having heard this doctrine, we know this:

ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง - แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์ แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ แม้ความตายก็เป็นทุกข์
Jātipi dukkhā jarāpi dukkhā maranampi dukkham, 
Birth is suffering, aging is suffering, death is suffering, 

โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา - แม้ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์
Soka-parideva-dukkha-domanassupāyāsāpi dukkhā, 
Sorrow, lamentation, physical and mental discomfort, pain, distress, despair and resentment are suffering,

อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง - ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์ มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์
Appiyehi sampayogo dukkho piyehi vippayogo dukkho yampiccham na labhati tampi dukkham, 
Association with what is disliked is suffering, separation from what is liked is suffering, not getting what one wants is suffering,

สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา - ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์ เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น
Sankhittena pancupādānakkhandhā dukkhā, 
In brief, the five aggregates of attachment are suffering,

เสยยะถีทัง – ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ
Seyyathīdam: - Namely

1. 
รูปูปาทานักขันโธ ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือ รูป
Rūpūpādānakkhandho, - Form (corporeality – สภาวะที่มีตัวตน)* as a clinging-aggregate, 
* Rupa Khandha – aggregate or group of physical phenomena.
Rupa (form, body) is the combination of 4 primary elements (dhatu – ธาตุ) and 24 derived matters (upada-rupa).

The 4 primary elements:

1. Pathavi dhatu – earth element, solid: hardness-softness, roughness-smoothness, heaviness-lightness etc.
20 items in our body:
(1) head hair, (2) body hair, (3) nails, (4) teeth, (5) skin, (6) flesh, (7) sinews (tendons), (8) bones (9) marrow, (10) kidneys, (11) heart, (12) liver, (13) membranes, (14) spleen, (15) lungs, (16) stomach, (17) intestines, (18) gorge, (19) feces (20) brain.

2. Apo dhatu – water element, fluid and cohesion
12 items: (1) bile, (2) phlegm, (3) pus, (4) blood, (5) sweat, (6) fat, (7) tears, (8) liquid fat, (9) saliva, (10) mucous, (11) oil in the joints (12) urine.

3. Tejo dhatu – fire element, heat, temperature: 4 kinds of heat in our body
4. Veyo dhatu – wind element, motion: 6 kinds of wind
2. เวทะนูปาทานักขันโธ – ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือ เวทนา
Vedanūpādānakkhandho, - Feeling* as a clinging-aggregate, 
*Vedana Khandha: feeling arises from contact of sense-organs (eye, ear, tongue, nose, skin) and mind,
1. Sukha – pleasure, satisfaction
2. Dukkha – suffering, stress, pain
3. Somanassa – gladness, joy
4. Domanassa - grief
5. Upekkha – equanimity, indifferent feeling
3. สัญญูปาทานักขันโธ – ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือ สัญญา - กำหนดได้หมายรู้ในอารมณ์ 6 เช่น เสียงดัง รูปสวย กลิ่นหอม รสหวาน ร้อน และดีใจ
Sannūpādānakkhandho, - Perception* as a clinging-aggregate, 
*Sanna Khandha – remembrance, recognition, 6 perceptions of (form, sound, smell, taste, touch-bodily impression, idea-mental impression), the awareness/remembrance of distinctive qualities (identifications) of various objects
4. สังขารูปาทานักขันโธ – ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือ สังขาร - สภาพที่ปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลาง ๆ มีเจตนาเป็นตัวนำ ที่ปรุงแต่งคุณภาพของจิต ให้เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต (เป็นกลางๆ ไม่ดี ไม่ชั่ว ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล)
Sankhārūpādānakkhandho, - Mental processes as a clinging-aggregate
*Sankhara Khandha – group of cetasika (combination of 3: vedana - feeling, sanna - perception, and vinnada - consciousness) – mental state, creative mind to think of virtue, evils, emotions, desires, etc. led by cetana (volition, will) then one does action. Sankharakhandha is the root of wholesome and unwholesome actions, determines moral quality of cetasika.
Cetasika (เจตสิก) – mental concomitants, เป็นสิ่งที่เกิดร่วมกับจิตเสมอ
5. วิญญาณูปาทานักขันโธ – ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือ วิญญาณ -รับรู้สิ่งทั้งปวง รับรู้ความรู้สึกต่างๆ ที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
Vinnanūpādānakkhandho.- Consciousness as a clinging-aggregate, 
*Vinnana Khandha – group of citta (mind, state of consciousness) acknowledges (general awareness) sense-objects.
เยสัง ปะริญญายะ ธะระมาโน โส ภะคะวา เอวัง พะหุลัง สาวะเก วิเนติ – เพื่อให้สาวกกำหนดรอบรู้อุปาทานขันธ์ เหล่านี้ เองจึงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่ย่อมทรงแนะนำสาวกทั้งหลาย เช่นนี้เป็นส่วนมาก
Yesam parinnāya, Dharamāno so bhagavā, Evam bahulam sāvake vineti, 
The Blessed One frequently reminded his disciples to contemplate these 5 clinging - aggregates.

เอวังภาคา จะ ปะนัสสะ ภะคะวะโต สาวะเกสุ อะนุสาสะนี พะหุลา ปะวัตติตะติ - อนึ่ง คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น, ย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย, ส่วนมาก, มีส่วนคือการจำแนกอย่างนี้ว่า
Evam bhāgā ca panassa bhagavato sāvakesu anusāsanī, Bahulam pavattati: 
The Bless One further explained to his disciples that:

รูปัง อะนิจจัง เวทะนา อะนิจจา สัญญา อะนิจจา สังขารา อะนิจจา วิญญาณัง อะนิจจัง รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง
Rūpam aniccam, Vedanā aniccā, Sannā aniccā, Sankhārā aniccā, Vinānam aniccam,
Form (body) is impermanent, Feeling is impermanent, Perception is impermanent, Mental processes (formations) are impermanent, Consciousness is impermanent.

รูปัง อะนัตตา เวทะนา อะนัตตา สัญญา อะนัตตา สังขารา อะนัตตา วิญญาณัง อะนัตตา – รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญาณไม่ใช่ตัวตน
Rūpam anattā, Vedanā anattā, Sannā anattā, Sankhārā anattā, Vinnānam anattā,
Form (body) is not-self, Feeling is not-self, Perception is not-self, Mental processes (formations) are not-self, Consciousness is not-self,

สัพเพ สังขารา อะนิจจา สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ - สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ ใช่ตัวตน ดังนี้
Sabbe sankhārā aniccā, Sabbe dhammā anattāti
All conditions are impermanent, all nature of things are not-self. 
Seeing object:
Eye and a visible object - Rupakkhandha,
Awareness of this visible object – Vinnanakkhandha
Perception identifies this object as… - Sannakkhandha
Feeling responds to this object – Vedanakkhandha
Volition responds with conditioned reaction to this object – Sankharakkhandha

These mental and physical phenomena or the nature of these 5 aggregations is arising and passing away all the time --> constantly change or impermanent. Once delusion (moha) or ignorance (avijja) is removed and we understand these phenomena as they truly are, we will realize the nature of existence that is not permanent, not-self, attachment to the existence will be eliminated.

For example, contemplating body (I, my body, my possession - clinging) by dividing into 4 elements (20+12+4+6 = 42 items), they are subject to change, decay, nothing is permanent, no self in there. Same as our state of mind: arises then disappears, keeps changing (happy, sad, etc.), there is no self in both body and mind --> no entity, no ego.
เต (ตา) มะยัง โอติณณามาหะ ชะติยา ชะรามะระเณนะ – พวกเราทั้งหลาย เป็นผู้ถูกครอบงำแล้ว; ชาติยา, โดยความเกิด โดยความแก่และความตาย
Te (WOMEN: Tā ) mayam, Otinnāmaha jātiyā jarā-maranena 
All of us are subject to birth, aging, and death,

โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปยาเสหิ - โดยความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ทั้งหลาย
Sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi, 
Sorrow, lamentations, physical and mental discomfort, pain, distress, despair, grief, resentment 

ทุกโขติณณา ทุกขะปะเรตา อัปเปวะนามิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขันขันธัสสะ อันตะกิริยา ปัญญาเยถาติ - เป็นผู้ถูกความทุกข์ หยั่งเอาแล้ว เป็นผู้มีความทุกข์ เป็นเบื้องหน้าแล้ว ทำไฉน การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะพึ่งปรากฏชัด แก่เราได้
Dukkhotinnā dukkha-paretā, Appeva nām'imassa kevalassa dukkhakkhandhassa antakiriyā pannāyethāti
Bounded with suffering, what action to end entirely of all sufferings might be known to us, 

จิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คะตา ธัมมัญจะ สังฆัญจะ - เราทั้งหลายผู้ถึงแล้วซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ปรินิพพานนานแล้ว พระองค์นั้น เป็นสรณะ; ถึงพระธรรมด้วย, ถึงพระสงฆ์ด้วย
Cira-parinibbutampi tam bhagavantam saranam gatā, Dhammanca sanghanca 
Though the Blessed One attained parinibbana long ago, we have reached the Buddha, and taken that Buddha, his Teachings (Dhamma), and his Disciples (Sangha) as our refuge and guidance.

ตัสสะ ภะคะวะโต สาสะนัง ยะถาสะติ ยะถาพะลัง มะนะสิกะโรมะ อะนุปะฏิปัชชามะ สา สา โน ปะฏิปัตติ อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยายะ สังวัตตะตุ
Tassa bhagavato sāsanam yathā-sati yathā-balam manasikaroma, Anupatipajjāma, Sā sā no patipatti, Imassa kevalassa dukkhakkhandhassa antakiriyāya samvattatu.
จักทำในใจอยู่ ปฏิบัติตามอยู่ ซึ่งคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตามสติกำลัง ขอให้ความปฏิบัตินั้น ๆ ของเราทั้งหลาย จงเป็นไปเพื่อการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ เทอญ
As strength allow us to practice and mindfulness in the Teachings of the Blessed One, may this practice lead us to the extinction of all sufferings.

จบคำทำวัตรเช้า (end of morning chant)






1. บูชาพระรัตนตรัย – Praise to the Triple Gem
2.
ปุพพภาคนมการ (Pubbabhaganamakarapatha) – Preliminary passage of reverence
3.
พุทธานุสสติ (Buddhanussati) - Recollection of the Buddha
4.
พุทธาภิคีติ (Buddhābhigītim) – Verses in praise of the Buddha
5.
ธัมมานุสสติ (Dhammānussati) - Recollection of the Dhamma
6.
ธัมมาภิคีติ (Dhammābhigītim) – Verses in praise of the Dhamma
7.
สังฆานุสสติ (Sanghānussatim) - Recollection of the Sangha
8.
สังฆาภิคีติ (Sanghābhigītim) – Verses in praise of the Sangha

อุททิสสนาธิฏฐานคาถา (กรวดน้ำตอนเย็น) - Verses of dedication of merit and aspiration
…………………………………………………………………………………………………

บูชาพระรัตนตรัย – Praise to the Triple Gem

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะควันตัง อะภิวาเทมิ 
(
พระผู้มีพระภาคเจ้า, เป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า, ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน)
Araham sammā-sambuddho bhagavā Buddham bhagavantam abhivādemi 
The Lord, the Perfectly Self-Enlightened One, I pay homage to the Buddha, the Awakened One, the Blessed One.
กราบ (prostrate once)

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ - พระธรรม เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า, ตรัสไว้ดีแล้ว ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม
Svākkhāto bhagavatā dhammo Dhammam namassāmi 
The Teaching is well expounded by the Blessed One, I pay homage to the Dhamma
กราบ (prostrate once)

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ - พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า, ปฏิบัติดีแล้ว ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์
Supatipanno bhagavato sāvaka-sangho Sangham namāmi 
The Sangha, the Blessed One's disciples have practiced well, I pay homage to the Sangha.
กราบ (prostrate once)

…………………………………………………………………………………………………….

ปุพพภาคนมการ (Pubbabhaganamakarapatha) – Preliminary passage for revering

ผู้สวดนำเริ่มว่า - Invocation by Leader:
หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะ ภาคะ นะมะการัง กะโรมะ เส - เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความนอบน้อมอันเป็นส่วนเบื้องต้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด
Handa mayam buddhassa bhagavato pubba-bhāga-namakāram karoma se: 
Now let us chant the preliminary passage in homage to the Awakened One, the Blessed One:

All: 
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 ครั้ง) - ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง 
Namo tassa bhagavato arahato sammā-sambuddhassa (Three times) 
Homage to the Blessed One, the Worthy One, the Perfectly Self-Awakened One
…………………………………………………………………………………………………….

พุทธานุสสติ (Buddhanussati) - Recollection of the Buddha

Leader:
หันทะ มะยัง พุทธานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส - เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความตามระลึกถึงพระพุทธเจ้าเถิด
Handa mayam Buddhanussatinayam karoma se 
Now let us chant recollection of the attributes of the Buddha

ตัง โข ปะนะ ภะคะวันตัง เอวัง กัล๎ยาโณ กิตติสัทโท อัพภุคคะโต, - ก็กิตติศัพท์อันงามของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น, ได้ฟุ้งไปแล้วอย่างนี้ว่า
Tam kho pana bhagavantam evam kalyāno kitti-saddho abbhuggato: 
The great reputation of the Blessed One has spread throughout the worlds:

อิติปิ โส ภะคะวา - เพราะเหตุอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
Itipi so bhagavā 
He is the Blessed One,

1.อะระหัง - เป็นผู้สิ้นจากกิเลส 
Araham 
A Worthy One, purity and perfection, he is entirely free from all defilements, 

2.สัมมาสัมพุทโธ - เป็นผู้ตรัสรู้ธรรมอย่างถูกต้องด้วยพระองค์เอง 
Sammā-sambuddho – fully enlightened* by himself
Sammasambuddha (พระสัมมาสัมพุทธเจ้า) – a Perfect Buddha, the Teacher and the Leader of human beings, deities, and brahmas, he discovered the Dhamma and formed the Sangha

Paccekabuddha (พระปัจเจกพุทธเจ้า)pacceka means ‘separately, individually’, sometimes called ‘silent or solitary Buddha’, the enlightened one by himself but he does not teach, and no Sangha formed.
3. วิชชาจะระณะสัมปันโน - เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา (ความรู้แจ้ง 8 ประการ) และจรณะ (ความประพฤติดี 15 อย่าง)
Vijjā-carana-sampanno 
He is perfect in knowledge* and moral conduct**, accomplished in the conduct leading to awareness or cognitive skill, omniscient.
*Vijja (วิชชา - knowledge) – 8 kinds of supernormal knowledge achieved from the attainment of right mental concentration (samadhi),

1-6 is 6 higher spiritual powers called Abhinna 6 (อภิญญา 6)

1-5 is lokiya-abhinna (still involve in worldly matters),
The sixth knowledge is lokuttara-abhinna (knowledge that enables the transcending of the world)

1. Iddhi vidha (อิทธิวิธา หรือ อิทธิวิธิ) – supernormal powers of transformation, miracles (แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้)
2. Dibba sota (ทิพพโสต) – divine ear (หูทิพย์)
3. Ceto-pariya-nana (เจโตปริยญาณ) – penetration of the minds of others, power to read minds (ความรู้ที่กำหนดใจผู้อื่นได้)
4. Pubbe-nivasanusati (ปุพเพนิวาสานุสสติ) – remembrance of former existence (ระลึกชาติได้)
5. Dibba chakkhu (ทิพพจักษุ) – divine eye, clairvoyance (ตาทิพย์)
6. Asavakkhaya - nana (อาสวักขยญาณ) – knowledge of the extinction of all cankers, mental intoxicants (ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ)
7. Vipassana-nana (วิปัสสนาญาณ) – insight knowledge, power attained through penetrative insight (ญาณในวิปัสสนา)
8. Manomayiddhi (มโนมยิทธิ) – mind-made images through magical power (ฤทธิ์ทางใจ คือ นิรมิตกายอื่นออกจากกายนี้)
………………………………………………………….

**Carana (จรณะ - conduct) – (ข้อปฏิบัติเพื่อบรรลุวิชชา หรือความรู้ในพุทธศาสนา), conduct or practice to attain vijja (knowledge and powers)

1. Pātimokkha samvara sīla – restraint of morals/precepts (สังวรศีล)
2. Indriya samvara sīla – restraint of senses (อินทรียสังวร - การสำรวมอินทรีย์ คือระวังไม่ให้บาปอกุศลธรรมครอบงำใจ เมื่อรับรู้อารมณ์ด้วยอินทรีย์ทั้ง 6)
3. Bhojane mattannutā - moderation in eating (โภชเน มัตตัญญุตา - ความรู้จักประมาณในการบริโภค)
4. Jagariyānuyoga - moderation in sleep, to keep mind and body alert, practice of wakefulness (ชาคริยานุโยค - ขยันหมั่นเพียรตื่นตัวอยู่เป็นนิตย์ ชำระจิตมิให้มีนิวรณ์)
5. Saddha – faith, confidence (ศรัทธา)
6. Hiri – shame of unwholesome actions (หิริ)
7. Ottappa – fear of unwholesome actions (โอตัปปะ)
8. Bahusacca – broad knowledge (พหุสัจจะ)
9. Viriya - energy, diligence (วิริยะ)
10. Sati - mindfulness (สติ)
11. Panna - wisdom (ปัญญา)

12-15 are the four meditative absorptions or jhana (ฌาน) attained through concentration (appana samadhi)
12. The first absorption – ปฐมฌาน (Pathamajjhana)
13. The second absorption – ทุติยฌาน (Dutiyajjhana)
14. The third absorption – ตติยฌาน (Tatiyajjhana)
15. The fourth absorption – จตุตถฌาน (Catutthajjhana)
4. สุคะโต - เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี 
Sugato 
Completely liberated himself from mental suffering, the Accomplished One for welfare of all beings,

5. โลกะวิทู - เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
Lokavidū 
He is the knower of the worlds as they really are,

6. อะนุตตะโร ปุริสสะธัมมะสาระถิ - เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
Anuttaro purisa-damma-sārathi 
He is incomparable in teaching beings, 

7. สัตถาเทวะมนุสสานัง - เป็นครูผู้สอนทั้งของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
Satthā deva-manussānam 
He is the Teacher and the Leader of human beings, celestial beings, and brahmas

8. พุทโธ - เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม ไม่มีทุกข์
Buddho 
He knows the Truths, the Awakened One, Enlightened One, 

9. ภะคะวาติ. - เป็นผู้มีความเจริญจำแนกธรรมสั่งสอนสรรพสัตว์ ดังนี้
Bhagavāti 
The Blessed One, the Holy One, with incomparable worthy attributes, having fulfilled with parami (10 perfections), direct knowledge, supernormal powers, and providing clear comprehension of Truths in accordance with nature and attributes of those to be tamed.
………………………………………………………………………………..

พุทธาภิคีติ (Buddhābhigītim) – Verses in praise of the Buddha

Leader:
หันทะ มะยัง พุทธาภิคีติง กะโรมะ เส - เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความขับคาถา พรรณนาสรรเสริญพระพุทธเจ้าเถิด
Handa mayam buddhābhigītim karoma se: 
Now let us chant the verses in praise of the Buddha

All:
พุทธ๎ะวาระหันตะ วะระตาทิคุณาภิยุตโต, - พระพุทธเจ้าประกอบด้วยคุณ, มีความประเสริฐแห่งอรหันตคุณ เป็นต้น
Buddhvārahanta-varatādigunābhiyutto, 
The Buddha is endowed with great virtues, purest morality, and worthiness,

สุทธาภิญาณะ กะรุณาหิ สะมาคะตัตโต, - มีพระองค์อันประกอบด้วยพระญาณ, และพระกรุณาอันบริสุทธิ์
Suddhābhināna-karunāhi samāgatatto, 
In him, with ultimate in wisdom, knowledge and purified, infinite compassion,

โพเธสิ โย สุชะนะตัง กะมะลัง วะ สูโร, - พระองค์ใดทรงกระทำชนที่ดีให้เบิกบาน, ดุจอาทิตย์ทำบัวให้บาน
Bodhesi yo sujanatam kamalam va sūro, 
Awakens the wise likened lotus blooms when the sun rises,

วันทามะหัง ตะมะระณัง สิระสา ชิเนนทัง, - ข้าพเจ้าไหว้พระชินสีห์ (ชินสีห์ - ผู้ชนะ) ผู้ไม่มีกิเลสพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
Vandāmaham tam-aranam sirasā jinendam. 
I revere with my head that Jina, who conquered all defilements and impurities,

พุทโธ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง, - พระพุทธเจ้าพระองค์ใดเป็นสรณะอันเกษมสูงสุดของสัตว์ท ั้งหลาย
Buddho yo sabba-pānīnam Saranam khemam-uttamam. 
The Buddha, the supreme refuge for all beings, 

ปะฐะมานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง, - ข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นอันเป็นที่ตั้งแห ่งความระลึกองค์ที่หนึ่ง ด้วยเศียรเกล้า
Pathamānussatitthānam Vandāmi tam sirenaham, 
I revere with my head that Buddha as the first jewel of recollection.

พุทธัสสาหัสมิ ทาโส (ผู้หญิง: ทาสี) วะ, พุทโธ เม สามิกิสสะโร - ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า, พระพุทธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า,
Buddhassāhasmi dāso (WOMEN: dāsī) va, Buddho me sāmikissaro 
I am a servant of the Buddha, my master and guidance.

พุทโธ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม, - พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องกำจัดทุกข์, และทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า
Buddho dukkhassa ghātā ca Vidhātā ca hitassa me. 
The Buddha is the destroyer of suffering, upholds blessing and benefit for me,

พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง, - ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธเจ้า
Buddhassāham niyyādemi Sarīranjīvitancidam. 
I devote this life to the Buddha

วันทันโตหัง (วันทันตีหัง) จะริสสามิ, พุทธัสเสวะ สุโพธิตัง, - ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่จักประพฤติตาม, ซึ่งความตรัสรู้ดีของพระพุทธเจ้า
Vandantoham (Vandantīham) carissāmi, Buddhasseva subodhitam. 
With my profound reverence, I have followed the supreme knowledge of the Buddha,

นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, พุทโธ เม สะระณัง วะรัง, - สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี, พระพุทธเจ้าเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า
Natthi me saranam annam, Buddho me saranam varam: 
With no other refuge, the Buddha is my noble refuge:

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน, - ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้, ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา
Etena sacca va jena, Vaddheyyam satthu sasane, 
By the utterance of this truth, may I progress in the religion of the Great Teacher.

พุทธัง เม วันทะมาเนนะ (วันทะมานายะ), ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ, - สัพเพปิ อันตะรายา เม, มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา 
(
ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งพระพุทธเจ้า, ได้ขวนขวายบุญใดในบัดนี้ อันตรายทั้งปวงอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้าด้วยเดชแห่งบุญนั ้น)
Buddham me vandamānena (vandamānāya) Yam punnam pasutam idha, Sabbe pi antarāyā me, Māhesum tassa tejasā.
Through the accrued merit of my effort and reverence to the Buddha, may I be free from all dangers.

สวดในขณะหมอบกราบ (bow down and say):

กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, พุทเธ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง, พุทโธ ปะฏิคคัณ๎หะตุ อัจจะยันตัง, กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ
(
ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี กรรมน่าติเตียนอันใด ที่ข้าพเจ้ากระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้า ขอพระพุทธเจ้าจงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น เพื่อการสำรวมระวัง ในพระพุทธเจ้า ในกาลต่อไป)
Kāyena vācāya va cetasā vā, Buddhe kukammam pakatam mayā yam, Buddho patigganhatu accayantam, Kālantare samvaritum va buddhe
Any misdeeds by bodily acts, speech, and mind I have committed towards the Buddha, may all the offenses be pardoned, and to restrain from such wrongdoings in the future.
………………………………………………………………..

ธัมมานุสสติ (Dhammānussati) - Recollection of the Dhamma

Leader:
หันทะ มะยัง ธัมมานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส - เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความตามระลึกถึงพระธรรมเถิด
Handa mayam dhammānussati-nayam karoma se: 
Now let us chant recollection of the attributes of the Dhamma

All:
1. สวากขาโต ภะคะวา ธัมโม - พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว คือถูกต้องทุกประการ
Svākkhāto bhagavatā dhammo 
Dhamma is well expounded by the Blessed One, perfect in meaning,

2. สันทิฏฐิโก - เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง ได้รับผลด้วยตนเอง 
Sanditthiko 
The practitioner of Dhamma can see and directly experience the result, immediate reality, 

3. อะกาลิโก - เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ไม่เป็นสิ่งล้าสมัย 
Akāliko 
The Dhamma is timeless, immediate result, unconditioned by time or season,

4. เอหิปัสสิโก - เป็นสิ่งที่ควรกล่าวแก่ผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด ให้พิสูจน์ได้
Ehipassiko 
Come and see to experience (inviting all to examine) result of the Dhamma, 

5. โอปะนะยิโก - เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
Opanayiko 
Leading inwards, leading us to our depths - inner peace, leading towards Nibbana

6. ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ - เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน ดังนี้ ฯ 
Paccattam veditabbo vinnūhīti - can be attained individually by the wise.
………………………………………………………………………………………………

ธัมมาภิคีติ (Dhammābhigītim) – Verses in praise of the Dhamma

Leader:
หันทะ มะยัง ธัมมาภิคีติง กะโรมะ เส - เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความขับคาถา พรรณนาสรรเสริญพระธรรมเถิด
Handa mayam dhammābhigītim karoma se: 
Now let us chant the verses in praise of the Dhamma:

All:
ส๎วากขาตะตาทิคุณะโยคะวะเสนะ เสยโย, - พระธรรมเป็นสิ่งที่ประเสริฐเพราะประกอบด้วยคุณ, คือความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเป็นต้น
Svākkhātatādiguna-yogavasena seyyo, 
The Dhamma is superior, excellent virtues, well expounded by the Blessed One,

โย มัคคะปากะปะริยัตติวิโมกขะเภโท, - เป็นธรรมอันจำแนกเป็นมรรคผลปริยัติและนิพพาน
Yo magga-pāka-pariyatti-vimokkha-bhedo, 
Divided as Path and fruition, theory, practice, realization - nibbana,

ธัมโม กุโลกะปะตะนา ตะทะธาริธารี, - เป็นธรรมทรงไว้ซึ่งผู้ทรงธรรม จากการตกไปสู่โลกที่ชั่ว
Dhammo kuloka-patanā tadadhāri-dhārī
The practitioners are protected from miserable world and woeful realms,

วันทามะหัง ตะมะหะรัง วะระธัมมะเมตัง, - ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมอันประเสริฐนั้น อันเป็นเครื่องขจัดเสียซึ่งความมืด
Vandāmaham tama-haram vara-dhammam-etam. 
I revere the Dhamma, the destroyer of darkness of ignorance

ธัมโม โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง, - พระธรรมใดเป็นสรณะอันเกษมสูงสุดของสัตว์ทั้งหลาย
Dhammo yo sabba-pānīnam Saranam khemam-uttamam, 
The Dhamma, the supreme refuge of all beings,

ทุติยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง, - ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมนั้นอันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึก องค์ที่สองด้วยเศียรเกล้า
Dutiyānussatitthānam Vandāmi tam sirenaham, 
I revere with my head that Dhamma as the second jewel of recollection,

ธัมมัสสาหัสมิ ทาโส (ทาสี) วะ, ธัมโม เม สามิกิสสะโร, - ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระธรรม, พระธรรมเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า
Dhammassāhasmi dāso (dāsī) va, Dhammo me sāmikissaro, 
I am a servant of the Dhamma, my master, guidance,

ธัมโม ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม, - พระธรรมเป็นเครื่องกำจัดทุกข์, และทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า
Dhammo dukkhassa ghātā ca Vidhātā ca hitassa me, 
The Dhamma is the destroyer of suffering, upholds blessing and benefit for me 

ธัมมัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง, - ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระธรรม
Dhammassāham niyyādemi Sarīranjīvitancidam – I devote this life to that Dhamma,

วันทันโตหัง (วันทันตีหัง) จะริสสามิ, ธัมมัสเสวะ สุธัมมะตัง, - ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่จักประพฤติตาม, ซึ่งความเป็นธรรมดีของพระธรรม
Vandantoham (Vandantīham) carissāmi, Dhammasseva sudhammatam 
With my reverence to Dhamma, I have followed the great virtue of doctrine, 

นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, ธัมโม เม สะระณัง วะรัง, - สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี, พระธรรมเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า
Natthi me saranam annam, Dhammo me saranam varam: 
With no other refuge, Dhamma is my superb refuge,

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ, วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน, - ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้, ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา
Etena sacca-vajjena, Vaddheyyam satthu-sāsane. 
By the utterance of this truth, may I progress in the religion of the Great Teacher.

ธัมมัง เม วันทะมาเนนะ (วันทะมานายะ), ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ, สัพเพปิ อันตะรายา เม, มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา
(
ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งพระธรรม, ได้ขวนขวายบุญใดในบัดนี้ อันตรายทั้งปวงอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้าด้วยเดชแห่งบุญนั ้น)
Dhammam me vandamānena (vandamānāya) Yam punnam pasutam idha, Sabbe pi antarāyā me, Māhesum tassa tejasā
Through the accrued merit of my effort and reverence to the Dhamma, may I be free from all dangers.

สวดในขณะหมอบกราบ (bow down and say):

กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, ธัมเม กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง, ธัมโม ปะฏิคคัณ๎หะตุ อัจจะยันตัง, 
(
ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี กรรมน่าติเตียนอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำแล้วในพระธรรม ขอพระธรรมจงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น เพื่อการสำรวมระวังในพระธรรมในกาลต่อไป)
Kāyena vācāya va cetasā vā, Dhamme kukammam pakatam mayā yam, Dhammo patigganhatu accayantam, Kālantare samvaritum va dhamme.
Any misdeeds by bodily acts, speech, and mind I have committed towards the Dhamma, may all the offenses be pardoned, and to restrain from such wrongdoings in the future.
…………………………………………………………………………………………………….

สังฆานุสสติ (Sanghānussati) - Recollection of the Sangha

Leader:
หันทะ มะยัง สังฆานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส – เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความตามระลึกถึงพระสงฆ์เถิด
Handa mayam sanghānussati-nayam karoma se: 
Now let us chant recollection of the attributes of the Sangha*,
* 2 kinds of Sangha
1. Bhikkhu Sangha is the community of bhikkhus and bhikkhunis, monks and nuns, the fully ordained ones, they do not realize any stage of enlightenment.

2. Ariya Sangha, or the Noble Sangha, they attain some degree of enlightenment: stream-enterers, once-returners, non-returners, and arahants

In chanting, clearly the Sangha refers to ‘Ariya Sangha’.
All:
1. สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ - (สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว)
Supatipanno bhagavato sāvaka-sangho,
The Sangha, the Blessed One's disciples who have practiced well (practice the Buddha’s path),

2. อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ - (สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติตรงแล้ว)
Uju-patipanno bhagavato sāvaka-sangho,
The Sangha, the Blessed One's disciples who have practiced straight (upright),

3. ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ - (สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว)
Nāya-patipanno bhagavato sāvaka-sangho,
The Sangha, the Blessed One's disciples who have practiced insightfully (with knowledge, wisdom),

4. สามีจิปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ - (สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติสมควรแล้ว) 
Sāmīci-patipanno bhagavato sāvaka-sangho,
The Sangha, the Blessed One's disciples who have practiced with integrity (practice the eightfold path completely), 

ยะทิทัง - (ได้แก่บุคคลเหล่านี้ คือ)
Yadidam - That is 

จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา – (คู่แห่งบุรุษ 4 คู่, นับเรียงตัวบุรุษได้ 8 บุรุษ)
Cattāri purisa-yugāni attha purisa-puggalā:
That is the four pairs, the eight kinds of noble beings (the four levels of enlightenment)*
1. stream-enterer - โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
2. once-returner - สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล
3. non-returner - อนาคามิมรรค อนาคามิผล
4. arahant - อรหัตตมรรค อรหัตตผล.
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ - (นั่นแหละ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า)
Esa bhagavato sāvaka-sangho 
These are the Blessed One's disciples, the Sangha,

5. อาหุเนยโย - (เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา)
Āhuneyyo - worthy of gifts,

6. ปาหุเนยโย - (เป็นผู้ควรแก่สักการะที่จัดไว้ต้อนรับ)
Pāhuneyyo - worthy of hospitality,

7.ทักขิเนยโย - (เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน)
Dakkhineyyo - worthy of offerings,

8.อัญชะลีกะระนีโย - (เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี)
Anjali-karanīyo - worthy of respect,

9.อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ – (เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้)
Anuttaram punnakkhettam lokassāti. - the supreme field of merit for the world.
………………………………………………………………………………………………………………

สังฆาภิคีติ (Sanghābhigītim) – Verses in praise of the Sangha

Leader:
หันทะ มะยัง สังฆาภิคีติง กะโรมะ เส - เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความขับคาถา พรรณนาสรรเสริญพระสงฆ์เถิด
Handa mayam sanghābhigītim karoma se: 
Now let us chant the verses in praise of the Sangha:

All:
สัทธัมมะโช สุปะฏิปัตติคุณาทิยุตโต, - พระสงฆ์ที่เกิดโดยพระสัทธรรม, ประกอบด้วยคุณมีความปฏิบัติดีเป็นต้น
Saddhammajo supatipatti-gunādiyutto, 
The Sangha, born of the true doctrine (Dhamma), having excellent virtue of good practice, etc.

โยฏฐัพพิโธ อะริยะปุคคะละสังฆะเสฏโฐ, - เป็นหมู่แห่งพระอริยบุคคลอันประเสริฐแปดจำพวก
Yotthābbidho ariya-puggala-sangha-settho,
The community of eight types of noble beings,

สีลาทิธัมมะปะวะราสะยะกายะจิตโต, - มีกายและจิตอันอาศัยธรรมมีศีลเป็นต้นอันบวร
Sīlādidhamma-pavarāsaya-kāya-citto:
Body and mind guided by superb doctrine, virtue and morality as the refuge, 

วันทามะหัง ตะมะริยานะ คะณัง สุสุทธัง, - ข้าพเจ้าไหว้หมู่แห่งพระอริยเจ้าเหล่านั้น อันบริสุทธิ์ด้วยดี
Vandāmaham tam-ariyāna-ganam susuddham,
I revere the community of that purified noble disciples, 

สังโฆ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง, - พระสงฆ์หมู่ใดเป็นสรณะอันเกษมสูงสุดของสัตว์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าไหว้พระสงฆ์หมู่นั้น อันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกองค์ที่สาม ด้วยเศียรเกล้า
Sangho yo sabba-pānīnam Saranam khemam-uttamam,
I revere with my head the Sangha, the excellent refuge of all being as the third jewel of recollection,

สังฆัสสาหัสมิ ทาโส (ทาสี) วะ, สังโฆ เม สามิกิสสะโร, - ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระสงฆ์, พระสงฆ์เป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า
Sanghassāhasmi dāso (dāsī) va, Sangho me sāmikissaro. 
I am a servant of the Sangha, my master, guidance,

สังโฆ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม, - พระสงฆ์เป็นเครื่องกำจัดทุกข์, และทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า
Sangho dukkhassa ghātā ca, Vidhātā ca hitassa me. 
The Sangha is the destroyer of suffering, upholds blessing and benefit for me,

สังฆัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง, - ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระสงฆ์
Sanghassāham niyyādemi, Sarīranjīvitancidam. 
I devote this life to the Sangha,

วันทันโตหัง (วันทันตีหัง) จะริสสามิ, สังฆัสโสปะฏิปันนะตัง, - ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่จักประพฤติตาม, ซึ่งความปฏิบัติดีของพระสงฆ์
Vandantoham (Vandantīham) carissāmi, Sanghassopatipannatam. 
With my reverence to the Sangha, I have followed good conduct of the Sangha,

นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, สังโฆ เม สะระณัง วะรัง, - สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี, พระสงฆ์เป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า
Natthi me saranam annam, Sangho me saranam varam: 
With no other refuge, the Sangha is my superb refuge:

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ, วัฑเฒยยัง สัตถุ สาสะเน, - ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้, ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา
Etena sacca-vajjena, Vaddheyyam satthu-sāsane. 
By the utterance of this truth, may I progress in the religion of the Great Teacher,

สังฆัง เม วันทะมาเนนะ (วันทะมานายะ), ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ, สัพเพปิ อันตะรายา เม, มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา 
(
ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งพระสงฆ์, ได้ขวนขวายบุญใด ในบัดนี้ อันตรายทั้งปวงอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้าด้วยเดชแห่งบุญนั ้น)
Sangham me vandamānena (vandamānāya), Yam punnam pasutam idha, Sabbe pi antarāyā me, Māhesum tassa tejasā. 
Through the accrued merits of my effort and reverence to the Sangha, may I be free from all dangers.

สวดในขณะหมอบกราบ (bow down and say):

กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, สังเฆ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง, สังโฆ ปะฏิคคัณ๎หะตุ อัจจะยันตัง, กาลันตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ 
(
ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี กรรมน่าติเตียนอันใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วในพระสงฆ ์ ขอพระสงฆ์ จงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น เพื่อการสำรวมระวัง ในพระสงฆ์ในกาลต่อไป)
Kāyena vācāya va cetasā vā, Sanghe kukammam pakatam mayā yam, Sangho patigganhatu accayantam, Kālantare samvaritum va sanghe.
Any misdeeds by bodily acts, speech, and mind I have committed towards the Sangha, may all the offenses be pardoned, and to restrain from such wrongdoings in the future.

จบคำทำวัตรเย็น (end of Evening Chant)

ศัพท์ศาสนาที่ควรทราบ
ทำวัตรเช้า - Morning Chant
ทำวัตร (tam-wat) – to observe religious practice regularly as for the result to cultivate virtuous morality and mind development 
วัตร – duty, routine, observance of percepts
วัด - temple

ทำวัตรเช้า - Morning Chant
1.
มนัสการพระรัตนตรัย (Ratanattaya Vandana) – Salutation to the Triple Gem
2.
ปุพพภาคนมการ (Pubbabhaganamakarapatha) – Preliminary passage in homage
3.
พุทธาภิถุติ (Buddhābhithutim) – Praise to the Buddha
4.
ธัมมาภิถุติ (Dhammābhithutim) - Praise to the Dhamma 
5.
สังฆาภิถุติ (Sanghābhithutim) - Praise to the Sangha 
6.
รตนัตตยัปปณามคาถา (Ratanattayapanamagatha) - Praise to the Triple Gem
7.
สังเวคปริกิตตนปาฐะ (Samvega Parikittanapatha) – Passage for dispassionateness




1 ความคิดเห็น:

  1. สอนวิปัสสนา ภาษาอังกฤษ จากเว็บพระอาจารย์ถนัด http://handymeditation.blogspot.com/

    ตอบลบ